วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

แนะนำร้านอาหารญี่ปุ่น KUMA MAJO @Soi Udomsuk

     วันนี้จะมาแนะนำร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ซูชิ ที่เพิ่งเปิดให้บริการกันหมาดๆ เลย นั่นก็คือร้าน KUMA MAJO นั่นเองค่ะ โดยชื่อร้านนี้มีความหมายว่า หมีที่มีเสน่ห์ เจ้าของเดียวกับร้านหมีใหญ่ใจดี ที่เคยรีวิวไปแล้วนั่นแหละค่ะ พอรู้ว่าเจ้าของเดียวกันแล้วก็คงไม่ต้องสงสัยทั้งเรื่องคุณภาพและชื่อร้านกันแล้วใช่มั๊ยหละคะ 555 

       ร้านนี้เค้าเปิดเป็นร้านห้องแถวขนาดหนึ่งคูหา ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท 103 หรือเรียกง่ายๆ ก็คืออยู่ในซอยอุดมสุขติดกับร้านหมีใหญ่ใจดีเลย ส่วนด้านซ้ายก็จะติดกับร้านฮกหลีค่ะ

        และเนื่องจากเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ทางร้านเลยมีโปรโมชั่นในช่วงของ Grand Opening มาจูงใจลูกค้าด้วยการทั้งลดทั้งแจก เพื่อให้ลูกค้าใหม่ๆ ได้เข้ามาลองลิ้มชิมรสชาดกันโดยถ้วนหน้า

       ส่วนบรรยากาศภายในร้านก็แต่งสไตล์ญี่ปุ่น แต่ออกแนวชิกๆ สว่างๆ เน้นสีขาวแดง ไม่ได้แต่งออกมาเป็นโทนน้ำตาลขรึมๆ เหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป จะออกแนว Street Food แบบเก๋ๆ ซะมากกว่า








ครัวซูชิของที่นี่ จะอยู่ในห้องกระจกเล็กๆ ด้านหน้าร้านฝั่งขวาของทางเข้าร้านเลยค่ะ 













ส่วนเมนูของที่นี่จะเล่มใหญ่ แล้วก็หนักพอสมควรเลยนะคะ แต่พอเปิดเข้าไปนี่ โห..น่ากินทุกเมนูเลย แต่ราคาก็ถือได้ว่าไม่ถูกนะคะ เอาเป็นว่าขอใช้คำว่า " ราคาค่อนข้างสูง " มากกว่า " ราคาแพง " จะตรงที่สุด เพราะราคานี้มันก็เหมาะสมกับคุณภาพของวัตถุดิบจริงๆ ค่ะ








อุปกรณ์ที่ให้มาบนโต๊ะค่ะ นอกนั้นก็จะมีจานสีดำใบเล็กๆ แบนๆ สไตล์ญี่ปุ่น กับตะเกียบอีก 1 คู่ค่ะ










         เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็สั่งอาหารมาชิมกันเลยสิคะ รออัลไร เมนูที่สั่งก็มี Salmon Sasimi (ลด 50%) เมนูซูชิหน้าต่างๆ ซึ่งลดราคา 30% ตามด้วยหมี่เย็นหรือโซบะเย็น และตบท้ายด้วยยำปลาแซลมอนสไตล์ฮาวาเอียนค่ะ







Salmon Sasimi ที่มาแบบชิ้นโตๆ เต็มๆ คำ ทั้งสด หวาน และนุ่มละมุนลิ้นมากๆ ใครชอบเมนูนี้ ไม่ควรพลาดนะคะ แนะนำว่าต้องลองไปชิมกันดูซักที


















ซูชิหน้าต่างๆ ที่สั่งมากินในวันนี้ค่ะ พูดได้คำเดียวเลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆ มันทั้งสด อร่อย และมีให้เลือกหลากหลายมาก






       หลังจากที่เจ้าของร้านคนนี้ได้ทำให้ประทับใจในคุณภาพของร้านอาหารสไตล์ตะวันตก อย่างสเต็ก กับร้านที่มีชื่อว่าหมีใหญ่ใจดีมาแล้ว มาครั้งนี้กับร้านอาหารญี่ปุ่นก็ยังสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพไว้ได้ดีเหมือนเดิม ตอนนี้คงต้องรอลุ้นแล้วมั๊งว่าเค้าคิดจะเปิดร้านอาหารสไตล์ไทย หรือจีนกันบ้างมั๊ย ถ้าเปิดจะรีบไปชิมให้ไวเลยค่ะ 


มาต่อกันที่จานต่อไปเลยดีกว่า นั่นก็คือโซบะเย็นค่ะ ที่นี่เค้าใช้เป็นโซบะสีเขียวๆ แบบนี้ เดาว่าน่าจะมีผักผสมอยู่ด้วยนะคะ แต่ที่สำคัญกว่า่นั้นคือ เครื่องที่เค้าเตรียมมาให้สำหรับใส่ลงในถ้วยซุป สำหรับจุ่มโซบะนี่ เค้าให้มาเยอะมากจริงๆ ตามในภาพที่เห็นเป็นถ้วยสี่เหลี่ยมเล็กๆ สองถ้วยที่อยู่ข้างๆ โซบะนั่นแหละค่ะ






มาปิดท้ายกันด้วยเมนูสุดท้าย ซึ่งก็คือ ยำแซลมอนสไตล์ฮาวาเอียนค่ะ กินคู่กับผักสลัดและข้าวเกรียบ ตามภาพเลยค่ะ







          บอกตามตรงนะคะ สำหรับยำแซลมอนจานนี้ ตอนกินเข้าไปคำแรกก็แอบสตั้นไป 3 วิ เพราะมันแปลกๆ ไม่เหมือนที่เคยไปกินมา โดยมากจะเป็นน้ำยำสไตล์ไทยๆ ซะส่วนใหญ่ จะว่าอร่อย ก็อร่อยดี ไม่ได้ขี้เหร่อะไร แต่กินไปเยอะๆ ก็เลี่ยนเหมือนกัน ทีแรกคิดว่านี่คงเป็นน้ำยำที่เค้าคิดขึ้นมาเพื่อไม่ให้เหมือนร้านอื่น เพื่อสร้างความแตกต่าง หลีกหนีความจำเจละมั๊ง แต่พอถามพนักงานถึงได้รู้ว่า ที่นี่เค้ามีน้ำยำ 3 แบบ คือ แบบไทย แบบลาป และแบบฮาวาเอียน ที่คนที่ไปด้วยเค้าสั่งมาเพราะอยากลองของใหม่นี่แหละ 

          สรุปเลยแล้วกันนะคะ สำหรับที่นี่เรื่องคุณภาพวัตถุดิบจัดว่าอยู่ในขั้นที่ดีถึงดีมากเลย ไม่ได้กะมาทำเล่นๆ ตีหัวเข้าบ้าน ส่วนเรื่องรสชาดที่ไปกินวันนี้ ประทับใจประเภทซูชิ และซาซิมิ มากกว่า แต่ยังไงก็คงต้องพูดเหมือนเดิมแหละว่า " หนึ่งคนทำ ล้านคนชิม " เอาเป็นว่าเรื่องคุณภาพไม่ต้องพูดถึง ส่วนเรื่องรสชาดก็คงต้องไปลองกันเองนั่นแหละค่ะ ดีที่สุด

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

ร้าน After You @ Seacon Square (ศรีนครินทร์)

        สวัสดีปี 2560 ค่ะ วันนี้ก็ไม่ได้จะมาแนะนำร้านใหม่นะคะ เพราะร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันมานานอยู่แล้ว บางคนถึงขนาดเป็นสาวกเลยด้วยซ้ำ ต่อแถวกันทีนี่ไม่ต่ำกว่า 10-20 นาที หรือบางทีไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงกันเลยก็มี นั่นก็คือร้าน After You นั่นเองค่ะ

        จุดเด่นหรือ ซิกเนเจอร์ของร้านนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น เมนูของหวานที่ชื่อว่า Honey Toast นั่นเอง และที่สำคัญเค้าเป็นเจ้าแรกที่นำเมนูนี้เข้ามาให้คนไทยได้ลองลิ้มชิมรสชาดกันตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งสาขาแรกของเค้าอยู่ที่ J Avenue ค่ะ

        ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่า ร้านนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของเราเลย โดยเฉพาะ Honey Toast ที่ใครๆ หลายคนบอกว่าอร่อยนักอร่อยหนา แต่เราไม่เคยคิดอยากจะกินเลยซักนิด ยิ่งมีแต่คนพูดถึงร้านนี้ว่าแพงด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งทำให้เราคิดว่าคงจะไม่เข้าไปกินอย่างแน่นอน ฟันธง! แต่พอดีมีอยู่วันนึงบังเอิญได้ฟังสกู๊ปของร้านนี้จากรายการหนึ่ง ซึ่งก็จำไม่ได้แล้วว่ารายการอะไร เพราะไม่ได้ตั้งใจฟังจริงๆ ได้ยินว่าเค้าเป็นเจ้าแรกที่นำเมนู Honey Toast เข้ามา ก็เลยเริ่มสนใจ ประกอบกับการที่เค้าเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ก็ยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก ยังไม่พอนะ เวลาเดินผ่านหน้าร้านที่สาขาเมกกะบางนาทีไร ก็ไม่เคยเห็นว่าความยาวของแถวคนที่รอจะลดลงเลยซักครั้ง ส่วนโต๊ะในร้านก็เต็มทุกโต๊ะเหมือนเดิม เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้ตั้งใจไปกินจริงๆ ก็คงไม่ได้กินแน่ๆ ต้องเป็นแฟนพันแท้เท่านั้นถึงจะรอได้ ทุกครั้งเลยได้แต่เดินผ่านไปผ่านมา แล้วพูดแซวแบบขำๆ ว่า นี่เค้าแจกอะไรกันเหรอ? ทำไมคนมารอกันเยอะจัง 555

        จนเค้ามาเปิดสาขาที่ Seacon Square ศรีนครินทร์ นี่แหละ ก็เลยกะว่าจะมาลองกินซักหน่อย แต่คนก็ยังรอต่อคิวกันเยอะเหมือนเดิม วันแรกก็เลยอด เพราะขี้เกียจรอ 555 ส่วนวันที่ได้กินนี่ ขอบอกว่าตั้งใจไปกินจริงๆ ไปมันก่อนเที่ยงเลย สรุปคือ ได้ผลแฮะ ยังมีโต๊ะว่างอีกเยอะ ไม่ต้องรอต่อแถว เดินเข้าไปสั่งได้แบบชิวๆ เลย แต่ด้วยความที่ นี่เป็นครั้งแรกที่เรามากินขนมประเภทนี้ ก็เลยไม่อยากสั่งอะไรเยอะ กลัวว่าเดี๋ยวไม่ถูกปากกินไม่หมดก็เสียดายแย่ เลยสั่งมาแค่ Honey Toast ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน แต่เปลี่ยนขนมปังเป็นแบบชาร์โคล กับเพิ่มท๊อปปิ้งอีก 2 อย่าง คือ กล้วยกับสตรอเบอร์รี่ เท่านั้น ส่วนเมนูอื่นที่สั่งเพิ่มคือ ชาเลมอนแบบร้อน



          ที่นำร้านนี้มาเขียนในครั้งนี้ก็เพราะ หลังจากที่ได้ลองลิ้มชิมรสชาดไปแล้ว ก็ขอบอกเลยว่าประทับใจมาก เพราะมันไม่หวานและเลี่ยนอย่างที่คิดเลย เริ่มจากน้ำผึ้งที่ใช้ราดก็ใช้อย่างดี มีกลิ่นหอม ราดลงไปแล้ว ให้รสชาดที่หวานอ่อนๆ แบบสดชื่น ตัวขนมปังก็กรอบนอกนุ่มใน ไม่นิ่มๆ เละๆ ส่วนไอศครีมวนิลาที่ให้มา 2 ลูก ก็มีปริมาณที่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป แถมยังมีรสชาดหวานกำลังดี หอมกลิ่นวนิลานัวๆ กินกับกล้วยหอมที่เป็นท๊อปปิ้งที่มีคุณภาพ หวานและสุกกำลังดีไม่มีรอยช้ำ หรือกินกับสตรอเบอร์รี่สด ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว พูดได้คำเดียวว่า คือมันดีงามมากจริงๆ ทำให้เราจากคนที่ไม่เคยคิดอยากกิน Toast มาตลอด เพราะคิดว่ามันน่าจะทั้งหวานและเลี่ยนแน่เลย กลับอยากไปกินที่ร้าน After You อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง แหะๆ ตราบใดที่ไม่ต้องต่อคิวรอเป็นชั่วโมงๆ นะ 555

         สุดท้ายขอพูดเรื่องราคากันบ้าง เคยได้ยิน และได้อ่านมาหลายความเห็นเหมือนกัน และโดยส่วนใหญ่คนจะใช้คำว่า " ราคาแพง " แต่จากที่เราได้ไปกินด้วยตัวเองมาแล้ว ขอใช้คำว่า " ราคาสูง " แทนละกันนะ เพราะของของเค้าต้องยอมรับว่ามันมีคุณภาพจริงๆ ทุกอย่างที่ใส่มา ถูกการคัดสรรมาเป็นอย่างดี มีคุณภาพมาก ตั้งแต่น้ำผึ้ง ขนมปัง ไอศครีม ยันท๊อปปิ้งเลย อันนี้ก็คงต้องให้เค้าล่ะ

        ปล. อย่าลืมหาเวลาออกกำลังกายกันบ้างนะคะ สู้ สู้ ค่ะ

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

แนะนำร้าน DON CHICKEN @Seacon Square Srinakarin

           วันนี้ขอส่งท้ายปี 2559 ด้วยร้านอาหารเกาหลี ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น1 โซน Tesco Lotus ในซีคอนสแควร์ สาขาศรีนครินทร์นะคะ นั่นก็คือร้าน DON CHICKEN ค่ะ


           ส่วนบรรยากาศ และการตกแต่งร้านจะเรียบหรุู ดูพรีเมี่ยมแค่ไหน ก็คงไม่ต้องบรรยายอะไรกันมากมาย เอาเป็นว่าตามที่เห็นในภาพเลยค่ะ


             ทีนี้มาดูบรรยากาศด้านในกันบ้างนะคะ ช่วงที่ไปยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ แต่พอนั่งได้ซักพักนี่เต็มเกือบทุกโต๊ะเลยค่ะ




           บนโต๊ะเค้าก็จะจัดเตรียมอาวุธให้ประมาณนี้ค่ะ แต่ยังไม่หมดนะคะ เพราะถ้าใครสั่งเมนูต้มๆ เค้าก็จะมีชามใบเล็กๆ มาให้อีกใบด้วยค่ะ


           อาวุธพร้อมแล้วก็มาดูอาหารที่สั่งกันต่อเลยดีกว่านะคะ เริ่มด้วยไก่ทอดซึ่งเป็นไฮไลต์ก่อนเลยละกัน โดยไก่ทอดของที่นี่จะมีรสกระเทียมเพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจากรสออริจินอล รสเผ็ด และรสน้ำผึ้งที่เราเคยกินกันบ่อยๆ อยู่แล้ว แต่ที่นี่เค้าจะไม่เหมือนที่ที่เคยไปกินมาตรงที่ รสออริจินอล เค้าจะมีขายแค่ 2 ส่วนเท่านั้นคือ น่องกับปีก ส่วนรสชาดอื่นๆ เค้าจะไม่แยกขายเป็นส่วนๆ ต้องสั่งแบบครึ่งตัวหรือทั้งตัวเท่านั้น ส่วนวันที่ไปก็สั่งน่องแบบออริจินัล กับ ไก่เผ็ดมาครึ่งตัว สุดท้ายกินไม่หมด ก็ห่อกับบ้านสิคะ รออะไร 555


            ไก่เผ็ดของที่นี่มันออกหวานนำมาก่อนเลย แต่ก็ไม่ใช่ไม่เผ็ดนะ แต่ออกหวานมากกว่าน่ะ บอกได้เลยว่าใครที่เคยไปกินที่ Kyo Chon และ Bon Chon มาก่อนและติดใจกับรดเผ็ดเบอร์นั้น อาจไม่ชอบก็ได้ ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนกินเผ็ดนะ ออกจะจืดเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับไก่ทอดเกาหลีต้องเผ็ดแบบสตั้นไปเลยนี่ ชอบมากสะใจจริงๆ อิอิ อ้อ! เกือบลืม ด้านบนรูปที่เห็นก็จะเป็นพวกเครื่องเคียงที่เค้าให้มาไว้กินคู่กันกับไก่ทอดน่ะค่ะ

         พูดเรื่องไก่มาเยอะละ มาดูเมนูต่อไป เพื่อเรียกน้ำย่อยกันต่อเลยดีกว่า นั่นก็คือเมนูต๊อกค่ะ แหะๆ สารภาพนะคะว่าจำชื่อไม่ได้ แต่ที่สั่งเป็นเมนูต๊อกใส่เส้นราเมงน่ะค่ะ ก็จะมาเป็นหม้อแบบนี้พร้อมเครื่องเคียงอีก 1 ชุด และก็เหมือนเดิมคือ มาตั้งที่โต๊ะเสร็จแล้ว ใช่ว่าจะกินได้เลยก็หาไม่ เราต้องรอๆๆๆ จนกว่าน้องพนักงานจะมาทำพิธีเปิดฝา และ Cooking ให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะสามารถลงมือสวาปาม เอ้ย! รับประทานกันได้ อ้อ! ที่นี่เค้าไม่มีระดับความเผ็ดให้เลือกนะคะ ส่วนตัวแล้วชอบเมนู เพราะมีต๊อกเยอะ ส่วนรสชาดของน้ำซุปก็อร่อย และเผ็ดกำลังดี ซดแล้วรู้สึกสดชื่นมาก กินได้ไม่มีเบื่อเลย


               หลังจากบรรยาซะยืดยาว มาเปิดฝาหม้อดูข้างในกันดีกว่า โดยรูปที่เห็นนี่จะเป็นรูป ก่อนและหลัง Cooking ตามลำดับนะคะ ซึ่งหน้าตาก็ประมาณนี้ค่ะ เมนูนี้ส่วนมากจะเน้นต๊อก ราเมง และผัก นอกนั้นก็มีไข่ต้ม 1 ฟอง และใส่ชีสมาให้นิดหน่อย เนื้ออย่างเดียวที่มีคือลูกชิ้นปลาที่มีลักษณะเป็นแผ่นแบนราบรูปสามเหลี่ยม มันทั้งแบนและบาง จนมองเผินๆ เหมือนฟองเต้าหู้มาก มากจนคนที่ไปด้วยพูดว่า เอ...นี่มันเมนูมังสวิรัสชัดๆ เลยนี่! เราก็.......ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่นึกขอโทษในใจ ก็เค้าอยากกินต๊อกนี่นา เมนูอื่นมันมีเนื้อแต่ไม่มีต๊อกอะ แถมไม่มีราเมงด้วย ก็เลยต้องเลือกอันนี้แหละ กินๆ ไปเถอะน้าาาาา แต่สุดท้ายก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ เฮ้อ! ค่อยยังชั่วหน่อย แฮร่!
           


           จริงๆ แล้วที่ร้านนี้ยังมีเมนูอื่นๆ อีกมากนะคะ มองไปโต๊ะข้างๆ เห็นข้าวผัดเกาหลีก็มี ก็ถือได้ว่าครบสำหรับคนที่ชอบความหลากหลาย หรือถ้ามากันหลายๆ คน ก็เลือกกินอย่างที่ตัวเองชอบกันได้เลย ส่วนเรื่องรสชาด ก็คงต้องลองไปชิมกันเอง แต่สำหรับเรา ไก่ทอดรสออริจินัล กับ รสเผ็ดยังไม่โดน แต่ก็กะไว้ว่าครั้งหน้าจะไปลองกินเมนูอื่นๆ ดูอีก โดยเฉพาะไก่ทอดซอสน้ำผึ้ง และซอสกระเทียม แต่ก็ติดตรงที่เค้าขายเป็นแบบครึ่งตัวและเต็มตัวเท่านั้นนี่สิ เอิ่ม! สงสัยได้ห่อกลับบ้านอีกแน่ๆ เลย

          อ้อ! สำหรับคนที่สนใจอยากไปลองทานกัน ช่วงนี้เค้ามีส่วนลด 50% เฉพาะเมนูไก่ทอดทุกเมนูนะคะ 

         กินอิ่มอร่อยกันแล้ว ก็อย่าลืมออกกำลังกายกันด้วยนะคะ สุขภาพจะได้แข็งแรงตลอดไป ยังไงก็ขอถือโอกาสนี้ อวยพรให้ทุกคนมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง ตลอดปีและตลอดไปนะคะ สุขสันต์วันปีใหม่ 2560 ล่วงหน้าค่ะ

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แนะนำร้าน LAVA Shabu @ซ.สุขุมวิท 101/1







          สวัสดีค่ะ หลังจากห่างหายไปนาน วันนี้ก็จะขอนำเสนอร้านชาบูแบบพอเพียงกันบ้าง นั่นก็คือร้าน LAVA SHABU ค่ะ 

            ร้านนี้เป็นร้านชาบูแบบบุฟเฟ่ต์ มีลักษณะเป็นตึกแถว 1 คูหา ไม่ใหญ่มาก ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 101/1 หรือก็คือ ซอยวชิรธรรมสาธิตนั่นละค่ะ












ส่วนราคาต่อท่านจะอยู่ที่ 199 บาท สำหรับท่านที่สั่งเมนูหมู ส่วนเนื้อเค้าจะคิดอีกราคา คือ ท่านละ 239 บาท ตามภาพเลยค่ะ






            แต่ไม่ใช่ว่าที่นี่จะมีแค่เนื้อหรือหมูเท่านั้นนะคะ อย่างอื่นเค้าก็มี แต่ก่อนอื่นขอพาไปชมบรรยากาศข้างในร้านกันก่อนละกันนะคะ ตามเข้ามาชมด้านในกันต่อเลยค่ะ



           จากภาพจะเห็นได้ว่า ตอนที่เพิ่งไปกินครั้งแรกๆ (ภาพซ้าย) พื้นที่ในส่วนชั้นลอย ยังไม่ถูกเปิดใช้บริการ มีแค่เฉพาะด้านล่างเท่านั้น แต่ครั้งหลังสุดที่เพิ่งไปมา (ภาพขวา) ซึ่งห่างจากครั้งแรกเพียง 2 เดือน จะเห็นได้ว่าเค้าเปิดให้บริการชั้นลอยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แค่นี้ก็น่าจะพิสูจน์ได้ถึงคุณภาพ ความอร่อย และความคุ้มค่า ที่ร้านนี้มอบให้กับลูกค้าแล้ว จริงมั๊ยคะ


          แต่ก็จะไม่ให้จินตนาการกันไปเองหรอกนะคะ เดี๋ยวจะลงรูปให้ดูว่าเค้ามีอะไรมาให้บริการเราบ้าง ตามมาดูมุมบริการกันต่อเลยค่ะ






            และนี่คือภาพโดยรวมของมุมบริการค่ะ จากรูปมองตรงเข้าไปด้านในสุด คือ เค้าท์เตอร์น้ำดื่ม ซึ่งฟรีไม่อั้น และที่สำคัญรวมอยู่ในราคาบุฟเฟต์แล้วนะคะ ที่ต้องย้ำก็เพราะบางที่ ราคาไม่รวมน้ำดื่มนะคะต้องดูให้ดี ส่วนโต๊ะที่เห็นตั้งอยู่หน้าสุดนี้ เป็นโซนผักต่างๆ ส่วนด้านขวาจะเป็นโซนของน้ำจิ้ม เห็ด และของหวานค่ะ











ให้ดูกันชัดๆ อีกที สำหรับโซนผักต่างๆ ที่เค้าเตรียมไว้ให้ ตัวอย่างเช่น แครอทฝาน หัวใช้เท้าฝาน กระหล่ำปลีฝอย ผักกาด ผักบุ้ง ฝักทอง สาหร่ายคอมบุ นอกนั้นก็มีวุ้นเส้น กับมาม่า มาให้ด้วยค่ะ








ส่วนน้ำจิ้ม ที่นี่เค้าจะมีให้เลือก 3 แบบ คือ น้ำจิ้มแบบสุกี้ ซีฟู๊ด และอย่างสุดท้ายเป็นน้ำจิ้มสไตล์ญี่ปุ่นค่ะ โดยมีกระเทียม ต้นหอม พริก วางอยู่ข้างๆ ให้เติมเพิ่มกันตามใจชอบ ส่วนด้านล่างของชั้นนี้เค้าก็จะมีน้ำมะนาวไว้บริการด้วยนะคะ





สำหรับคนที่ชอบกินเห็ดก็ไม่ต้องตกอกตกใจไป เค้ามีให้เหมือนกันค่ะ โดยจะวางต่อจากโซนน้ำจิ้มถัดเข้าไปด้านในตามภาพเลยค่ะ








ทีนี้ก็มาถึงโซนของหวานกันบ้าง โซนนี้จะอยู่ด้านในสุดของชั้นล่าง ใกล้ๆ กับโซนน้ำดื่ม ไปทีไรก็ต้องเผื่อท้องไว้ทุกครั้ง เพราะชอบมากๆ 





        นับได้ว่าโซนของหวานของร้านนี้ เป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างจากร้านชาบูทั่วไปได้เป็นอย่างดีเลยนะคะ เพราะโดยมากก็จะเป็นไอศครีมซะส่วนใหญ่ ดีไม่ดีอาจต้องซื้อเพิ่มอีกต่างหาก แต่ที่นี่เป็นน้ำแข็งไส ย้ำว่าไสจริงๆ ไม่ใช่น้ำแข็งหลอด นอกจากนี้ยังมีน้ำแดง น้ำเขียว และนมข้นหวานไว้ให้บริการควบคู่กันไปด้วย แต่น่าเสียดาย เพราะจากที่ไปครั้งล่าสุด ไม่มีโซนนี้แล้วค่ะ


              มาพูดถึงวัตถุดิบกันบ้าง อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า นอกจากหมูกับเนื้อ เค้าก็มีอย่างอื่นมาบริการด้วยนะคะ เช่น ไก่ ตับหมู ปลา ปลาหมึก กุ้ง เป็นต้น ส่วนหมูก็ไม่ได้มีแค่หมูสไลด์เพียงอย่างเดียว มีหมูหมัก หมูนุ่มด้วย แต่เท่าที่ลองกิน เราชอบหมูสไลด์มากกว่า ซึ่งอันนี้ก็เป็นแค่ความชอบส่วนตัวนะคะ ใครชอบไม่ชอบแบบไหนก็คงต้องไปลองไปเลือกทานกันดูก่อนค่ะ



          เอาภาพน้ำจิ้มมาให้ดูเรียกน้ำย่อยก่อนค่ะ แฮ่ร์!


            ลงหม้อหมดทุกสิ่งอย่างแล้ว ยกเว้นหมูสไลด์ค่ะ ยังไงใครเบื่อร้านเดิมๆ หรืออยากหาร้านใหม่ๆ มาลองทานกันบ้างก็แนะนำร้านนี้นะคะ ถึงจะดูไม่หรูหรา อลังการ เหมือนร้านอื่น แต่เรื่องคุณภาพ ความอร่อย นับว่าดีในระดับนึงเลยทีเดียวเชียวค่ะ พิสูจน์ได้จากคนที่เข้ามารับประทานกันมากขึ้น จนต้องเปิดชั้นลอยเพิ่มขึ้นมาภายในระยะเวลาแค่สองเดือนเท่านั้นเอง แค่เหตุผลนี้ก็ไม่น่าจะต้องบรรยายอะไรมากไปกว่านี้แล้วใช่มั๊ยคะ ที่เหลือก็แค่ต้องลองหาเวลาไปพิสูจน์กันเองแล้วนะคะ ว่าจะถูกปากหรือเปล่า ชอบไม่ชอบยังไง เพราะสุดท้ายก็ต้องจบที่ประโยคเดิมคือ หนึ่งคนทำ ล้านคนชิมค่ะ

            อ้อ! ยังไงก็ขอให้อิ่มอร่อย สุขภาพดีกันถ้วนหน้านะคะ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แนะนำร้านอาหารเกาหลี RED SUN @Central Bangna




         สวัสดีค่ะ ที่ผ่านมาก็เคยแนะนำร้านอาหารเกาหลีไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้านปิ้งย่าง ร้านไก่ทอด รวมถึงร้านของหวาน ซึ่งเป็นน้ำแข็งใสสไตล์เกาหลี ที่เรียกกันติดปากว่า บิงซู นั่นเอง โดยทุกวันนี้ถ้าพูดถึง บิงซู คงไม่มีใครไม่รู้จักเป็นแน่ และวันนี้ที่จะมาแนะนำก็ยังเป็นร้านสัญชาติเกาหลีเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนมาเป็นอาหารประเภทต้มๆ กันบ้าง นั่นก็คือร้าน RED SUN สาขา Central บางนา นี่เอง






          บรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล มีส่วนที่ให้นั่งโดยไม่ใช้เก้าอี้อยู่ทางขวาด้านในของร้าน จำนวน  3 โต๊ะ  ส่วนบนกำแพงต่อจากพนักพิง จะมีที่ให้แขวนพวงกุญแจ อารมณ์คล้ายๆ พวงกุญแจคู่รัก แต่สำหรับที่นี่น่าจะเป็นพวงกุญแจของลูกค้าที่มาทานที่ร้านมากกว่านะ (จากการเดาล้วนๆ ค่ะ)



         และนี่คือ อุปกรณ์ประกอบการรับประทาน ซึ่งมีแค่ที่เห็นตามภาพจริงๆ ไม่ว่าคุณจะสั่งอะไรเมนูไหน อาวุธคุณก็มีอยู่เท่านี้แหละค่ะ แค่จานหลุมขนาดเล็ก 1 ใบ ช้อนและตะเกียบสไตล์เกาหลี 1 ชุด กระดาษทิชชู่ 1 แผ่น ย้ำว่า 1 แผ่นจริงๆ นะคะ เพราะบนโต๊ะไม่มีกล่องทิชชู่มาให้เหมือนร้านอื่น นอกจากนี้ก็มีที่รองแก้วน้ำน่ารักๆ ซึ่งก็มีให้เห็นได้ตามร้านอาหารเกาหลีทั่วไปไม่ได้แปลกอะไร แต่ที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร ก็น่าจะเป็นผ้ากันเปื้อนนี่ล่ะคะ ทุกคนจะมีกันคนละผืน ทีแรกแอบคิดว่าเค้าจะแจกให้เอากลับเป็นของสมนาคุณให้ลูกค้ารึเปล่า เพราะมันค่อนจะเหมือนของใช้ส่วนตัวไปนิดนึง แต่ขอบอกว่าอย่าเอากลับนะคะ เค้าไม่ได้ให้ค่ะ! 555



         การที่ร้านนี้เค้าต้องมีผ้ากันเปื้อนให้ลูกค้า ก็อาจเป็นเพราะที่นี่เค้าขายอาหารประเภทต้มเป็นหลัก แถมตะเกียบกับชอนที่ก็ยังเป็นสไตล์เกาหลีซึ่งทำจากสแตนเลสอีกต่างหาก ลูกค้าบางท่านอาจไม่ถนัด พลาดพลั้งไปอาจทำให้ชุดสวยๆ ที่กะจะใส่มาช๊อปปิ้ง ออกเดท ฯลฯ หรืออะไรก็แล้วแต่เลอะเทอะลงได้ในพริบตา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เอาเป็นว่าอย่าให้ชุดเลอะ เป็นดีที่สุด จริงมั๊ยล่ะคะ

        ส่วนจุดเด่นของร้านนี้ก็คือ ต๊อกป๊อกกี นั่นเอง ดูเผินๆ อาจคิดว่าไม่ต่างจากร้านชาบูทั่วไป แต่จริงๆ แล้วต้องเปรียบกับร้านหม้อไฟมากกว่า เพราะที่นี่เค้าจะมีให้เลือกเป็นชุดๆ ตามเมนูที่อยู่ในป้ายหน้าร้านเลย โดยแต่ละเมนูก็จะต่างกันตรงน้ำซุปและท๊อปปิ้ง เมื่อเลือกได้แล้วน้องพนักงานก็จะถามต่อว่า " เอาเผ็ดระดับไหนคะ " ก็..เอิ่ม อยากแซปมากน้อยก็เลือกเอา ตามที่สบายใจเลยละกัน วันนั้นที่ไปเราเลือกระดับ 2 เพราะเป็นคนกินเผ็ดไม่เก่ง เอาแค่พอหอมปากหอมคอพอ และนี่คือหน้าตาของเมนูที่สั่งมา ท๊อปปิ้งด้วยสันคอหมูสไลด์ ซึ่งเป็นเมนูแนะนำของทางร้านเลยค่ะ

ชึกซอก ต๊อกปกกี ร้าน Red Sun

         หลายคนเห็นในรูปแล้วคงจะนึกสงสัยใช่มั๊ยคะว่า โหเผ็ดระดับสอง ทำไมสีมันจืดขนาดนี้ มันจะเผ็ดเหรอ ก็ต้องขออธิบายเพิ่มเติมว่า อันนี้เป็นรูปที่ถ่ายตอนที่น้องเค้าเพิ่งยกมาเสริฟที่โต๊ะค่ะ เค้าจะเอามาวางไว้บนเตาไฟฟ้า พร้อมกับพูดว่า " รอซัก 5 นาทีนะคะ เดี๋ยวจะมา Cooking ให้ค่ะ " อะไรทำนองนี้ เราก็นั่งรอจนน้ำเริ่มเดือด น้องพนักงานก็เข้ามาคลุกเคล้าให้ พร้อมกับแกะสันคอหมูสไลด์ที่มันติดกันมาเป็นปึกเดียวกัน ให้แยกออกจากกันทีละชิ้นๆ อย่างชำนาญ และหลังจากที่น้องเค้าทำการคลุกเคล้าเรียบร้อยพร้อมกินแล้ว หน้าตาก็ออกมาเยี่ยงนี้ค่ะ


        ภาพนี้ทำให้นึกถึงตอนที่ต้มมาม่าในหม้อแล้วรุมกินกับเพื่อนในหอจริงๆ ได้ฟิวล์นั้นเลย แต่ขอบอกเลยว่าเหมือนกันแค่ภายนอกนะคะ ส่วนรสชาดนี่ต่างกันลิบ กินเข้าไปคำแรก หน้าของยูแจซอกนี่ลอยออกมาเลย คิดถึงตอนที่เห็นเค้ากินในทีวี ซึ่งดูหน้าอร่อยมากถึงมากที่สุด จนบางครั้งยังแอบคิดว่าเว่อร์ไปปะเนี่ย! แต่วันนี้ได้ลองมากินเองจริงๆ แล้ว ก็ต้องขอบอกเลยว่า ฟินน์จริงไรจิง มันอร่อยมาก อร่อยแบบที่กลับไปแล้วยังอยากซื้อบะหมี่เกาหลีไปต้มกินเองที่บ้านต่อเลย อ้อ! ยังไงจะขอติแค่ในส่วนของรามยอนนิดนึงละกัน ที่เราว่ามันออกแข็งไปหน่อย ไม่นุ่มหมือนที่เคยกินมาซักเท่าไหร่ แต่โดยรวมก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ยังไงถ้ามีโอกาสก็ยังอยากไปกินอีกอยู่ดี

กุ้งทอดซอสกิมจิ ร้าน Red Sun

          นอกจากเมนูหลักแล้ว ก็ได้สั่งเมนูทอดๆ มาอีก 2 เมนู รูปแรกคือ กุ้งชุบแป้งทอดซอสกิมจิ ซึ่งใช้กุ้งตัวใหญ่มาก แต่บอกตามตรงว่าไม่ประทับใจซักเท่าไหร่ เพราะกัดไปคำแรกนี่น้ำมันชุ่มเลย ส่วนรูปที่สองเป็นไก่ทอดแบบเผ็ด ก้อนเล็กๆ ขาวๆ นั่นคือต๊อกป๊อกกีกรอบๆ อร่อยดีค่ะ และขอบอกว่าอร่อยกว่าไก่อีก อาจเป็นเพราะเราเคยไปกินไก่ทอดของร้าน Bon Chon กับ Kyo Chon มาแล้วก็ได้ เลยคิดว่ารสชาดน่าจะไม่หนีกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะความเผ็ด แต่มันผิดคาดไปหมด ตั้งแต่ขนาดของไก่ ที่ชิ้นค่อนข้างเล็ก แถมความเผ็ดก็ยังไม่ได้ครึ่งของร้านที่เคยไปกินมาเลย อ้อ! ที่สำคัญไก่จานนี้รอนานมาก มากขนาดกินทุกอย่างบนโต๊ะหมดแล้ว คุยจนหมดเรื่องคุยแล้วก็ยังไม่มา ให้น้องไปตามสองสามครั้งได้ แต่ที่เจ็บกว่าการรอคือการโดนแซงคิวนี่สิ มันจี๊ดเลย เพราะตอนที่รอปรากฏว่าโต๊ะข้างๆ ที่มาทีหลังกลับได้ก่อนเราเฉยเลย ToT 

BUL BONG ร้าน Red Sun

         แต่ก็อะนะ เราคนไทยเมืองยิ้มไม่ว่ากันอยู่แล้ว คนเราก็ย่อมมีผิดพลาดกันได้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะร้านนี้เค้ายังไม่ได้ใช้ระบบดิจิตอลในการบริการลูกค้านี่นา

        แต่อาหารจานหลักนี่แนะนำเลยนะคะ น่าไปลอง ส่วนอร่อยไม่อร่อยก็ต้องขอใช้คำว่า " หนึ่งคนทำ ล้านคนชิม " ละกันนะคะ ยิ่งเป็นเรื่องอาหารนี่คงบอกแทนกันได้ไม่เต็มปากว่าต้องอร่อยทุกคน จริงมั๊ยคะ ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับการกิน และก็อย่าลืมหาเวลาออกกำลังกายด้วยนะคะ

      555 และแล้วก็มีโอกาสได้ไปอีกครั้งจนได้ เลยสั่ง จาจัง ต๊อกปกกี มาลองดูบ้าง หน้าตาก่อน Cooking ก็ประมาณนี้ค่ะ

จาจัง ต๊อกปกกี ร้าน Red Sun

      หลังจากที่น้องเค้ามาบริการ Cooking ให้เรียบร้อย หน้าตาก็เลยออกมาเป็นแบบนี้


       เนื่องจากตัวซอสเป็นสีดำ เลยออกมาเป็นเยี่ยงนี้ ส่วนรสชาดก็ขอบอกว่าใช้ได้เลยนะคะ เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ชอบกินเผ็ด หรือไม่สามารถกินเผ็ดได้ หรือมีเด็กน้อยมาร่วมโต๊ะด้วย เพราะน้ำซุปจาจังจะออกรสหวานอ่อนๆ เค็มนิดๆ ซดแล้วก็ชุ่มคอ สดชื่นดีค่ะ 

       นอกจากนี้ก็จะมีที่สั่งเพิ่มอีก 2 อย่าง คือ ปลาหมึกบับเบิ้ลซอสเผ็ด และต๊อกโกชิ ค่ะ ซึ่งขอบอกว่าไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ (เหมือนเคย) สำหรับ Side Dish ของร้านนี้ซักเท่าไหร่ เริ่มจากจานแรกคือ ปลาหมึกบับเบิ้ลซอสเผ็ด ที่เรารู้สึกว่ามันออกจะแข็งไปซักนิดสำหรับเรา คือเกินคำว่ากรอบไปหน่อยน่ะ อิอิ ส่วนต๊อกโกชิ ก็แห้งและแข็งไปนิดเหมือนกัน แต่ที่ประทับใจกลับกลายเป็นต๊อกปกกีย่างเสียบไม้ที่ให้มาเป็นเครื่องเคียง ซึ่งกรอบนอกแต่ข้างในกลับเหนียวนุ่มกำลังดี เลิฟๆ เลย ขอบอก
ปลาหมึกบับเบิ้ลซอสเผ็ด ร้าน Red Sun



ต๊อกโกชิ ร้าน Red Sun